|

หลังจากได้กลายเป็นแม่ทัพคนสำคัญของตระกูลโอดะแล้ว ฮาชิบะ
ฮิเดโยชิก็เข้าร่วมทำศึกในฐานะแม่ทัพคนสนิทของโนบุนางะมาตลอด
ไม่ว่าจะในศึกอาเนกาว่า ศึกโอดานิ ศึกนากาชิโนะ ศึกวัดฮอนกันจิ
โดยเขาเป็นแม่ทัพผู้มีผลงานในระดับต้นๆของตระกูลโอดะ
ร่วมกับเหล่าแม่ทัพคนสำคัญอย่างชิบาตะ คัตสึอิเอะ ซาคุมะ
โนบุโมริ นิวะ นากาฮิเดะ และ อาเคจิ มิตสึฮิเดะ
หลังจากศึกพิฆาตตระกูลทาเคดะที่คาอิสิ้นสุดลง
โนบุนางะเหลือศัตรูสำคัญๆเพียงแค่ไม่กี่ราย ยิ่งเมื่อ อุเอสิงึ
เค็นชิน มังกรแห่งเอจิโกะ
ผู้เป็นศัตรูที่เก่งกาจที่สุดมาป่วยตายลงกะทันหัน
และเมื่อสังฆราช เคนเนีย ผู้นำกลุ่มอิกโกะแห่งวัดฮอนกันจิ
ยอมจำนนต่อเขาด้วย แล้ว
ก็ยิ่งทำให้หนทางสู่การครองฟ้าของโนบุนางะดูราบรื่น
ศัตรูสำคัญๆก็เหลือเพียงแค่ตระกูลโมริทางตะวันตก
ตระกูลชิมาสุแห่งคิวชู และตระกูลโฮโจ
ซึ่งเหลือกำลังและดินแดนเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ฮาชิบะ ฮิเดโยชิทำการเปลี่ยนนามสกุลตนเองเป็นโทโยโทมิ
และได้รับการวางตัวให้เป็นแม่ทัพออกสู้ศึกทางแนวรบด้านตะวันตก
เพื่อจัดการกับโมริ
แต่แม้ว่ากองทัพเรือของโมริจะเคยพ่ายแพ้ต่อกองทัพของ คูคิ
โยชิทากะ
แม่ทัพเรือแห่งตระกูลโอดะไปเมื่อหลายปีก่อนจนไม่สามารถรุกเข้ามาได้แล้วก็ตาม
กองทัพของโมริก็ยังแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานการรุกของฮิเดโยชิได้
ซึ่งกลายเป็นฝ่ายฮิเดโยชิเสียด้วยซ้ำที่ต้องสู้ศึกอย่างยากลำบาก
|
 |
และในปี ค.ศ. 1582
ในระหว่างที่ฮิเดโยชิกำลังรบติดพันกับทางโมริ
ก็มีข่าวแจ้งมาจากเมืองหลวงว่า อาเคจิ มิตสึฮเดะได้ก่อกบฏ
และทำการลอบโจมตีและสังหารโนบุนางะที่วัดฮอนโนจิ
โนบุนางะเสียชีวิตในกองเพลิง
ข่าวนื้ทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินถึงกับสะเทือน
เพราะโนบุนางะคือผู้ที่กำลังจะขึ้นเป็นจ้าวแผ่นดิน
เมื่อเขาตายอย่างกะทันหัน
จึงทำให้เหล่าไดเมียวและขุนศึกทั่วประเทศต่างรีบฉวยโอกาสนี้กระโจนเข้ามาเพื่อหวังเป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมดแทน
และผู้ที่ทะยานเข้ามาเป็นคนแรกด้วยความรวดเร็วจนใครๆก็ไม่ทันตั้งตัว
ก็คือโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ
ในการศึกที่วัดฮอนโนจินั้น
ผู้ที่เสียชีวิตไปด้วยไม่ได้มีเพียงโนบุนางะ แต่ยังรวมถึงโอดะ
โนบุทาดะ ทายาทคนโตซึ่งเป็นผู้รับสืบทอดตระกูลโอดะด้วย
เมื่อเขารู้ว่าบิดาตนเองเสียชีวิต
ด้วยความเสียใจที่ไม่อาจกลับไปช่วยได้ทัน
จึงทำการคว้านท้องตนเองลง
แต่ในบันทึกบางฉบับก็ว่าเขาเสียชีวิตลงหลังจากยกทัพกลับมาสู้กับมิตสึฮิเดะแล้วแพ้
|
 |
ฮิเดโยชิ รับทราบข่าวร้ายนี้ จึงรีบทำการสงบศึกกับโมริ
จากนั้นยกกองทัพเกือบทั้งหมดกลับมายังเมืองหลวง
โดยการชูธงแก้แค้นให้แก่โนบุนางะผู้เป็นนาย
แล้วนำกองทัพของตนเข้าปะทะกับกองทัพของมิตสึฮิเดะทันที
โดยได้กองทัพของโอดะ โนบุทากา
บุตรชายคนที่สามของโนบุนางะเข้าร่วมด้วย
และนั่นคือที่มาของศึกยามาซากิ
กองทัพของมิตสึฮิเดะมีจำนวนน้อยกว่า
ประกอบกับทัพของฮิเดโยชินั้นไม่ได้บอบช้ำในการศึกกับโมริก่อนหน้านี้เท่าไรนัก
เพราะช่วงก่อนที่มิตสึฮิเดะจะก่อกบฏ
ฮิเดโยชิไม่ได้สั่งให้กองทัพของตนเข้าทำการรบอย่างที่ควร
แต่สั่งการให้ตรึงกำลังอยู่กับที่ไว้ คอยดูท่าทีของโมริ
ในที่สุด ฮิเดโยชิก็ปราบมิตสึฮิเดะลงได้
ทำให้มิตสึฮิเดะกลายเป็นผู้ครองแผ่นดินอยู่เพียง 7 วันเท่านั้น
จากนั้นก็มีการเล่ากันว่ามิตสึฮิเดะที่หนีทัพไปก็ได้ทำการปลิดชีพตนเอง
แต่ก็มีเกร็ดเล่าว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่มาอีกหลายปีด้วยการปลอมแปลงชื่อและรูปโฉมตัวเอง
ด้วยการออกบวชและเปลี่ยนเป็นคนใหม่ โดยใช้ชื่อว่า เท็นไค
ซึ่งในภายหลังเท็นไคผู้นี้ก็คือสังฆราชเท็นไค
ผู้เป็นที่ปรึกษาอันดับหนึ่งของโชกุนแห่งตระกูลโตกุกาว่า
แต่นี่ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น
หลังจากแก้แค้นให้โนบุนางะเรียบร้อยแล้ว
ฮิเดโยชิก็เริ่มเผยธาตุแห่งความทะเยอทะยานของตนออกมา
ในตอนนั้นบุตรชายของโนบุนางะที่มีศักดินาและดินแดนรวมถึงกำลังทหารในมือนั้นยังเหลืออยู่สองคน
ก็คือโอดะ โนบุคัตสึ และโอดะ โนบุทากะ
ดังนั้นสิทธิในการที่จะเป็นผู้ครองแผ่นดินและผู้นำของรัฐบาลก็สมควรจะให้แก่ทายาทของตระกูลโอดะ
แต่ฮิเดโยชิไม่ทำเช่นนั้น
การที่เขาสามารถปราบมิตสึฮิเดะลงได้นั้น
ก็คือการแก้แค้นให้โนบุนางะ
ผลงานตรงนี้มีมากพอที่จะชนะใจเหล่าทหารนายกองระดับรองๆลงมา
และสามารถที่จะอ้างเป็นความชอบธรรมของตัวเขาเองในฐานะผู้มีกำลังทางทหารอันแท้จริงที่พอจะขึ้นมาสยบความวุ่นวายจากเหล่าไดเมียวที่เหลืออยู่ทั่วแผ่นดินซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการตายของโนบุนางะได้
แต่ทางฝ่ายแม่ทัพคนอื่นของตระกูลโอดะก็รู้ถึงความทะเยอทะยานของฮิเดโยชิที่แอบซ่อนอยู่ดี
ดังนั้นในที่ประชุมครั้งใหญ่ที่ปราสาทคิโยสุ
ระหว่างเหล่าแม่ทัพคนสำคัญของตระกูลโอดะ ไม่ว่าจะฮิเดโยชิ
โทชิอิเอะ นากาฮิเดะ และคัตสึอิเอะ
จึงมีการถกเถียงและโต้แย้งกันในเรื่องที่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจทางทหารทั้งหมดของโอดะ
ซึ่งตอนนั้นตระกูลโอดะเหลือทายาทคนสำคัญอยู่สองคนที่มีทั้งอำนาจทหารและดินแดนในปกครอง
นั่นคือโอดะ โนบุคัตสึ และ โอดะ โนบุทากะ
บุตรชายคนที่สองและสามของโนบุนางะ
|
 |
ในบรรดาแม่ทัพทั้งหมดที่เข้าประชุมนั้น ฮิเดโยชิ
กลายเป็นผู้มีอำนานทางทหารแข้มแข็งที่สุด
ดังนั้นฝ่ายให้สนับสนุน จึงต้องพยายามให้ฮิเดโยชิเข้าช่วย
โดยปรากฏว่าผลสรุปออกมาต่างจากที่คาดหมาย เพราะผลกลายเป็น โอดะ
ฮิเดโนบุ บุตรชายอายุเพียงสองขวบของโอดะ โนบุทาดะ
ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของตระกูลโอดะ
โดยผู้ที่ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันก็คือ ฮิเดโยชิ
ซึ่งมันก็อ่านไม่ยาก
เพราะนี่คือโอกาสที่ฮิเดโยชิจะสามารถขึ้นมายึดอำนาจได้ในภายหลัง
โดยคนอื่นๆเองก็ไม่กล้าขัดแย้ง
นอกจากนี้ นักประวัติศาสตร์จำนวนไม่น้อย
ยังมีความเห็นคล้ายกันว่า
ฮิเดโยชิได้คาดการณ์เรื่องที่โนบุนางะอาจจะถูกลอบสังหาร
และตนเองก็รอโอกาสที่จะเข้ามายึดอำนาจไว้แล้ว
ข้อสนับสนุนตรงจุดนี้ก็คือ
ในระหว่างที่ฮิเดโยชิรับศึกกับทางโมรินั้น ช่วงท้ายๆ
เขาได้สั่งตรึงกองทัพของตนไว้ไม่เคลื่อนไหว
เสมือนกับว่ากำลังรอให้เกิดเรื่องอะไรบางอย่าง
และเมื่อมิตสึฮิเดะก่อการขึ้นมาเมืองหลวง
ฮิเดโยชิก็ทำการสงบศึกกัโมริ
และนำกองทัพของตนเข้าสู่เมืองหลวงได้ทันที
ซึ่งเป็นการนำทัพที่รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
จนไม่มีใครคาดคิดหรือตามได้ทัน
แต่ถามว่าฮิเดโยชิภักดีต่อโนบุนางะไหม
จากบันทึกประวัติศาสตร์รวมไปถึงเกร็ดเล่าหลายแห่ง
ค่อนข้างแน่ชัดว่าฮิเดโยชิมีความภักดีต่อโนบุนางะอย่างมาก
และเคารพยกย่องในฐานะผู้เป็นอาจารย์สอนการรบด้วย
แต่ในเรื่องของการไขว่คว้าอำนาจนั้น
มันเสมือนกับเป็นอีกคนละเรื่อง
ในเมื่อมีโอกาสที่จะคว้าอำนาจสูงสุดมาอยู่ในมือแล้ว
การปล่อยให้มันหลุดมือไปก็คงนับว่าโง่เง่าเต็มทน
ซึ่งนี่คงเป็นความคิดปกติของผู้ที่เกิดในยุคสงครามเช่นนั้น
และในปีค.ศ. 1984 เวลาผ่านไป 2
ปีหลังจากมีการประชมที่ปราสาทคิโยสุผ่านพ้น
เหล่าแม่ทัพและทายาทตระกูลโอดะก็เริ่มรู้สึกที่จะไม่พอใจฮิเดโยชิซึ่งทำเสมือนผู้กุมอำนาจแท้จริงต่อไปไม่ไหว
จึงได้ทำการลุกฮือขึ้นก่อการ
โดยโนบุคัตสึได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับโตกุกาว่า อิเอยาสึ
ประกาศสงครามกับฮิเดโยชิ อันเป็นที่มาของศึกโคมากิ นาคากุเตะ
|
 |
แต่หลังจากผ่านพ้นไปเพียงครึ่งปี ด้วยกำลังที่แตกต่างกัน
บวกกับความเชี่ยวชาญในการทำศึกของกองทัพฮิเดโยชิที่เหนือกว่ากองทัพอื่นๆ
ทำให้โนบุคัตสึตัดสินใจขอสงบศึกกับฮิเดโยชิ
ทางฝ่ายอิเอยาสึเองก็ไม่อาจต้านทานทำศึกต่อไปได้ไปไหว
ฮิเดโยชิเองก็ไม่คิดจะถึงกับทำลายล้างอิเอยาสึ
ดังนั้นเขาจึงยื่นข้อเสนอสงบศึกให้อิเอยาสึ
ซึ่งอิเอยาสึก็จำใจยอมสงบศึก และยอมสวามิภักดิ์ต่อฮิเดโยชิ
โดยยอมส่งมอบโตกุกากว่า ฮิเดยาสึ
บุตรชายคนรองของตนให้เป็นตัวประกันของฮิเดโยชิด้วย
นอกจากนี้ แม่ทัพคนอื่นๆของตระกูลโอดะที่เหลือ
ต่างก็ยอมสวามิภักดิ์แก่ฮิเดโยชิจนสิ้น เหลือเพียงสองคนสุดท้าย
นั่นคือ มาเอดะ โทชิอิเอะ เพื่อนสนิทในอดีตของฮิเดโยชิ
และชิบาตะ คัตสึอิเอะ
ผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อตระกูลโอดะจนถึงนาทีสุดท้าย
โนบุทากะ บุตรชายคนที่สาม ตัดสินใจเข้าร่วมกับคัตสึอิเอะ
ทำการต่อต้านฮิเดโยชิ ในขณะที่โทชิอิเอะ
ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกเขยของคัตสึอิเอะ เพราะว่ามัตสึ
ภรรยาของเขาเป็นลูกบญธรรมของคัตสึอิเอะนั้น
ตัดสินใจเข้าร่วมด้วยในตอนแรก
แต่เมื่อเจอกองทัพของฮิเดโยชิเข้าบีบล้อมปราสาทไว้
เขาจึงรู้ว่าไม่อาจต่อต้านได้แน่
ฮิเดโยชิเสนอทางเลือกให้เพื่อนสนิทด้วยการมอบดินแดนคางะให้ปกครอง
โดยยอมสวามิภักดิ์แก่เขา ซึ่งโทชิอิเอะก็ยอมตามข้อตกลง
ส่วนโนบุทากะเองก็รบแพ้
ฮิเดโยชิไม่ต้องการสังหารทายาทของตระกูลโอดะ จึงยื่นข้อเสนอให้
โนบุทากะยินยอมรับและสวามิภักดิ์
กลายเป็นไดเมียวคนหนึ่งภายใต้อาณัติของฮิเดโยชิ
|
 |
ด้วยเหตุนี้ ชิบาตะ คัตสึอิเอะ จึงโดดเดี่ยว
และต้องพ่ายแพ้ในศึกที่ชิสุกาตาเกะ
โดยเขายอมตายในขณะที่ปราสาทกำลังถูกเผาไหม้
พร้อมกับภรรยาของเขา นั่นคือเจ้าหญิงโออิจิ น้องสาวของโนบุนางะ
ผู้ถูกพรากจากอาซาอิ นางามาสะ สามีของตนเองในศึกที่โอดานิ
ซึ่งหลังจากนั้นคัตสึอิเอะก็รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลนางมาตลอด
โดยครั้งนี้โออิจิตัดสินใจที่จะตายพร้อมสามีคนสอง
เพราะไม่อยากหนีไปเมื่อคราวนางามาสะอีกแล้ว
แต่นางก็ไม่ต้องการให้ลูกๆตายไปด้วย
จึงส่งตัวลูกทั้งสามคนให้ออกมาจากปราสาท ก่อนที่ปราสาทจะถูกเผา
ซึ่งลูกสาวคนโตของโออิจิที่รอดตายมาในครั้งนี้ มีชื่อว่าจาจะ
นางเป็นหญิงสาวสวยแห่งยุค ซึ่งเมื่อเติบใหญ่
ได้เปลี่ยนชื่อเป็นโยโด
และได้กลายเป็นสตรีที่มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์หลังจากนั้น
ผลจากความพ่ายแพ้ของคัตสึอิเอะ
และการยอมสยบของเหล่าทายาทและแม่ทัพแห่งตระกูลโอดะ
ก็ทำให้ในที่สุดแล้ว โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ
ได้ก้าวมาถึงจุดที่โนบุนางะเคยก้าวถึงมาแล้ว และในไม่ช้า
ฮิเดโยชิก็กำลังจะก้าวเหนือขึ้นไปอีกขั้น
|