เหตุการณ์ที่วัดฮอนโนจิ
ส่งผลสะเทือนต่อหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
และผู้จุดชนวนนั้นก็คือ อาเคจิ มิตสึฮิเดะ
ผู้เก็บงำความไม่พอใจในตัวของโนบุนางะเอาไว้
จนกระทั่งมันรุนแรงมากขึ้นและประทุออกมา
ในปี ค.ศ. 1582
โนบุนางะวางแผนเตรียมการพิชิตดินแดนทางตะวันตกของโมริให้ราบคาบ
เพื่อจะได้ครองญี่ปุ่นโดยสมบูรณ์
ฮิเดโยชิได้รับการวางตัวให้เป็นแนวหน้าในการทำศึกกับโมริ
และก็ต้องประสบกับความยากลำบากมาก
เพราะทัพเรือของโมริก็ยังคงมีอานุภาพเข้มแข็ง
และต้านทานการรุกของฮิเดโยชิได้
โนบุนางะจึงส่งมิตสึฮิเดะให้นำกองทัพสนับสนุนไปช่วยเหลือฮิเดโยชิจำนวนหลายหมื่นคน
โดยก่อนจะออกศึกครั้งนี้
อิเอยาสึซึ่งเพิ่งจะทำศึกทางฝั่งมิคาวะเสร็จ
ก็ได้เข้ามาเยี่ยมโนบุนางะอย่างเป็นทางการ
โนบุนางะจึงได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอิเอยาสึ
โดยมอบหมายให้มิตสึฮิเดะซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในงานพิธีต่างๆรับหน้าที่นี้
|
แต่ระหว่างที่กำลังเลี้ยงต้อนรับอิเอยาสึ
ซึ่งจัดว่าเป็นงานสำคัญมากเพราะอิเอยาสึเป็นพันธมิตรที่มีกำลังใหญ่โตที่สุดและเป็นพันธมิตรมายาวนานที่สุดในบรรดาพันธมิตรทั้งหมดของโนบุนางะนั้น
มีรายงานแจ้งเข้ามาถึงการเคลื่อนไหวของทางโมริ
ซึ่งฮิเดโยชิกำลังลำบากอย่างหนักและอาจจะต้านทานไม่อยู่
โนบุนางะจึงคิดจะส่งกำลังหนุนไปช่วย
โดยสั่งให้มิตสึฮิเดะไปเตรียมทัพของตนเพื่อออกศึก
และขอริบดินแดนซากาโมโตะ
และทัมบะซึ่งเป็นดินแดนในปกครองของมิตสึฮิเดะทั้งหมดคืนมา
และสั่งว่าหากมิตสึฮิเดะสามารถตีโมริแตกได้
ก็จะมอบดินแดนทั้งหมดของโมริ ซึ่งก็คืออิสึโมะให้แก่มิตสึฮิเดะ
การสั่งการของโนบุนางะในครั้งนี้ค่อนข้างแปลกพิสดาร
เพราะการที่ริบดินแดนคืนก่อนที่แม่ทัพผู้นั้นจะออกศึก
ก็เท่ากับว่าไม่มีปราสาทและดินแดนให้ครอบครัวและผู้คนของแม่ทัพผู้นั้นอยู่อาศัย
มิตสึฮิเดะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพาครอบครัวทั้งหมดของตนและของผู้ใต้บังคับบัญชากว่าหมื่นชีวิตเคลื่อนย้ายไปยังสนามรบด้วย
คำสั่งของโนบุนางะในครั้งนี้เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่บีบจนมิตสึฮิเดะหมดทางเลือก
เนื่องจาก 3 ปีมานี้
เขายังคงเจ็บแค้นโนบุนางะในเรื่องการตายของแม่ตนมาตลอด
เมื่อรวมกับความรู้สึกที่อยากให้บ้านเมืองสันติของตัวเขาด้วยแล้ว
หากยังปล่อยให้โนบุนางะซึ่งมีแต่จะเหี้ยมโหดขึ้นทุกวันมีชีวิตต่อไปละก็
แผ่นดินคงนองเลือดไม่จบสิ้น เขาจึงตัดสินใจก่อกบฏต่อโนบุนางะ
|
ในวันนั้นโนบุนางะเข้าพักที่วัดฮอนโนจิ
ซึ่งตามปกติแล้วเมื่อโนบุนางะอยู่ในเขตแดนของตนมักจะวางกำลังป้องกันตนเองไว้ไม่มาก
ทหารที่เขาพาไปที่วัดฮอนโนจิมีจำนวนเพียง 30 คนเท่านั้น
มิตสึฮิเดะรู้ถึงข้อนี้จึงแสร้งทำเป็นจะยกทัพไปช่วยฮิเดโยชิตามคำสั่งของโนบุนางะในทีแรก
โดยทำการเดินทัพในยามวิกาล เพื่อใช้ความมืดอำพรางจำนวนแท้จริง
ในขณะที่กองทัพส่วนใหญ่ซึ่งมีจำนวนเกือบหมื่นคนยังคงปักหลักรอโอกาสอยู่
จนกระทั่งมิตสึฮิเดะแน่ใจแล้วว่าโนบุนางะเข้าค้างคืนที่วัดฮอนโนจิด้วยกำลังส่วนตัวเพียงเล็กน้อย
ปราศจากแม่ทัพคนใดอยู่เคียงข้าง
เขาจึงสั่งโจมตีแบบสายฟ้าในยามค่ำคืนทันที
ซึ่งนับว่าทุกอย่างประจวบเหมาะ เพราะโอดะ โนบุทาดะ
บุตรชายคนโตของโนบุนางะนำกำลังของตนออกไปยังปราสาทกิฟุพอดี
ดังนั้นถึงแม้ว่าโนบุทาดะจะทราบข่าวการโจมตีนี้
ก็ไม่อาจยกทัพกลับมาช่วยได้ทัน
ซึ่งเรื่องครั้งนี้สร้างความเสียใจแก่โนบุทาดะมาก
ภายหลังเขาจึงทำการคว้านท้องตนเองลง
|
ฝ่ายโนบุนางะเมื่อรู้ว่ามิตสึฮิเดะก่อการ
ก็สายเกินไปที่จะแก้ไข
ทหารของโนบุนางะที่เฝ้าอารักขาอยู่ที่วัดฮอนโนจินั้นน้อยเกินกว่าจะต้านทานกองทัพเชี่ยวชาญศึกของมิตสึฮิเดะได้
ในที่สุดวัดฮอนโนจิก็ถูกเผา และโนบุนางะก็สิ้นชีพลงที่นั่น
ด้วยอายุขัย 49 ปี โดยที่ไม่มีผู้ใดพบศีรษะของเขา
ซึ่งกล่าวกันว่าเขาได้ทำการฮาราคีรีตนเองในกองไฟ
และได้ฝากศีรษะของตนเองให้แก่ โมริ รันมารุ
คนสนิทข้างกายเอาไปซ่อนไว้
บ้างก็ว่าร่างของเขาถูกไฟเผาจนเหลือแต่เถ้ากระดูก
มิตสึฮิเดะกลายเป็นผู้พิฆาตจอมมารฟ้า
ยุติความโหดเหี้ยมทารุณที่เกิดจากน้ำมือของจอมมารผู้นี้ลงได้
แต่กระนั้นแผ่นดินก็ยังไม่พบกับความสงบ
มิตสึฮิเดะกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด แต่ก็เป็นเวลาเพียง 7
วันเท่านั้น
ก่อนที่ชายผู้หนึ่งจะประกาศชูธงแก้แค้นให้แก่โนบุนางะ
และสามารถทำได้สำเร็จ
ทำให้เขากลายเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าสมัยของโนบุนางะเสียด้วยซ้ำ
ชายผู้นั้นก็คือ ขุนพลที่ว่ากันว่าร้ายกาจที่สุดในกองทัพโอดะ
ผู้ไต่เต้ามาจากชาวนา นั่นก็คือ โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ
|