|

หลังจากเค็นชินสิ้นชีพลง
โนบุนางะก็กลายเป็นไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
จะเหลือก็เพียงโมริเท่านั้นที่เป็นศัตรูรายสุดท้าย
แต่โมริก็ไม่อาจรุกเข้าเขตแดนของโนบุนางะได้ จะว่าไปแล้ว
ความพ่ายแพ้ของโมริก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ
ศัตรูอื่นๆไม่ว่าจะวัดฮอนกันจิเองก็หมดพิษสงลงไปมากจากการที่จำต้องยอมสงบศึกกับโนบุนางะ
ทำให้ทั่วทั่งแผ่นดินเริ่มจะนับวันรอเวลาที่โนบุนางะจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองญี่ป่นทั้งหมดเท่านั้น
แต่แล้ว ฟากฟ้าก็ถึงคราวแปรผันอย่างกะทันหัน
เป็นการแปรผันชนิดสะเทือนฟ้าดินที่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นทั้งหมดและอาจจะรวมถึงยุคปัจจุบันนี้ด้วย
และบุรุษผู้ทำการสั่นสะเทือนฟ้าดินนี้ ก็คือบุรุษผู้มีนามว่า
อาเคจิ มิตสึฮิเดะ
มิตสึฮิเดะ เป็นซามูไรผู้เปี่ยมล้นด้วยความสามารถ
และมีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในยุคเซ็นโกคุ เขาเกิดเมื่อปี
ค.ศ. 1528 มีอีกนามหนึ่งคือ จูเบเอะ หรือ ฮิวกะ โนคามิ
เดิมทีเขาเป็นซามูไรภายใต้สังกัดของไซโต้ โดสะ
บุรุษผู้ฉายาว่าเจ้าอสรพิษ ผู้ปกครองแห่งมิโนะ
โดสะนั้นเป็นจอมโหดที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วในด้านความโหดเหี้ยมต่อศัตรูฝ่ายตรงข้าม
และยังเปี่ยมไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม และประสบการณ์ในการศึกมากมาย
นอกจากนี้เขายังได้เปรียบขุนศึกในยุคนั้นหลายอย่าง
เช่นอาณาเขตของมิโนะที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงเกียวโต
ทำให้สามารถเดินทางไปมาได้ง่าย
นอกจากนี้มิโนะยังเป็นเมืองที่มีความเจริญทางการค้า
และมีชัยภูมิที่ดีต่อการตั้งรับ ยากที่ใครจะตีแตก
ผืนดินของมิโนะก็จัดว่าอุดมสมบูรณ์
กองทัพมิโนะเองก็มีความเข้มแข็ง จนในช่วงต้นยุคเซ็นโกคุ
มีหลายคนทีเดียวคาดว่าโดสะนี่แหละผู้มีสิทธิ์สูงที่สุดผู้หนึ่งที่จะครองแผ่นดินได้
แต่โดสะก็ต้องมาเสียชีวิตลงก่อนที่จะได้ทันทำอะไร
เพราะการก่อกบฏของลูกชายของเขาเอง ไซโต้ โยชิทัตสึ
แต่ในตำนานและเกร็ดประวัติศาสตร์หลายแห่งเล่ากันว่าโดสะนั้นประทับใจในตัวโนบุนางะผู้เป็นลูกเขยมาก
และได้ฝากฝังภารกิจนี้ให้แก่โนบุนางะเรียบร้อยแล้ว
มิตสึฮิเดะ มีความสนิทสนมกับเจ้าหญิงโน
ภรรยาของโนบุนางะพอสมควร
ดังนั้นหลังจากที่โนบุนางะเข้าครอบครองโอวาริและมิโนะทั้งหมดได้ใม่นาน
เขาจึงได้รับการชักชวนให้เข้ามาอยู่ในสังกัดของโนบุนางะประกอบกับโนบุนางะเองก็ชื่นชมในสติปัญญาและความสามารถที่มีรอบตัวของมิตสึฮิเดะอยู่แล้ว
|
 |
โดยผลงานชิ้นสำคัญที่มิตสึฮิเดะทำให้แก่โนบุนางะตั้งแต่ยังไม่ทันจะเข้าร่วมกับโนบุนางะก็คือ
การเกลี้ยกล่อมโชกุน อาชิคางะ โยชิอากิ
ซึ่งกำลังเป็นโชกุนพเนจรเพราะถูกยึดอำนาจโดยกลุ่มสามคนมิโยชิในขณะนั้น
ให้มาขอความช่วยเหลือจากโนบุนางะ
และเรียกตัวโนบุนางะเข้าเมืองหลวง
ซึ่งการสร้างโอกาสของมิตสึฮิเดะนี้เอง
คือการทำให้โนบุนางะเข้ามาสู่ศูนย์กลางการปกครองของญี่ปุ่นโดยสะดวกและชอบธรรม
ทำให้โนบุนางะกลายเป็นจอมทัพผู้มีอำนาจในการพิทักษ์โชกุนและรัฐบาลอาชิคางะ
ภายใต้การรับรองอย่างชอบธรรมจากองค์จักรพรรดิ โองิมาจิ
นับเป็นผลงานชิ้นเอกของมิตสึฮิเดะ เขาได้รับศักดินา 1 แสนโกคุ
และได้ปกครองดินแดนซากาโมโตะ ภายหลังยังได้ดินแดนทัมบะอีกด้วย
และหลังจากนั้นเขาก็ยังสร้างผลงานในการศึกหลายต่อหลายครั้ง
จนมิตสึฮิเดะได้รับความไว้วางใจอย่างสูงและกลายเป็นหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ของตระกูลโอดะ
ร่วมกับพวก ชิบาตะ คัตสึอิเอะ,ซาคุมะ โนบุโมริ,นิวะ นากาฮิเดะ,โทโยโทมิ
ฮิเดโยชิ
ในการทำศึกกับทาเคดะ อุเอสึงิ โมริ วัดฮอนกันจิ
และกลุ่มจลาจลอิกโกะ
มิติสึฮิเดะมักจะได้รับการวางตัวเป็นแม่ทัพที่นำกองกำลังเข้าโจมตีพร้อมกลยุทธ์พิสดาร
มากกว่าจะรับหน้าที่เป็นแม่ทัพที่เข้าทำศึกตรงๆ
อาจเพราะเขาเป็นเพียงไม่กี่คนในทัพโอดะที่มีสติปัญญาและมีไหวพริบสูงมากพอที่จะทำตามแผนการพิสดารต่างๆที่โนบุนางะวางไว้ในแต่ละศึกได้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ความสำคัญของเขาต่อโนบุนางะจึงมีสูงไม่แพ้ฮิเดโยชิเลยทีเดียว
|
 |
แต่กระนั้นจุดเปลี่ยนก็มาถึง ในปี ค.ศ. 1579
มิตสึฮิเดะรับหน้าที่เข้าโจมตีปราสาทยางามิ ของฮาตาโนะ
ฮิเดฮารุ
โดยมิตสึฮิเดะไม่อยากจะให้มีการหลั่งเลือดโดยไม่จำเป็น
จึงคิดเจรจาและเกลี้ยกล่อมให้ฮิเดฮารุยอมจำนนต่อโนบุนางะโดยสันติวิธี
เนื่องจากโดยธาตุแท้แล้ว
มิตสึฮิเดะเป็นคนที่รักสงบและไม่ปรารถนาการฆ่าฟัน
การที่เขายอมรับใช้โนบุนางะผู้มีความเหี้ยมโหด
นั่นก็เพราะเขาเล็งเห็นว่าโนบุนางะเป็นเพียงผู้เดียวที่จะสามารถสยบความวุ่นวายและการนองเลือดในแผ่นดินที่มีมากกว่าหลายสิบปีให้สงบลงได้
แต่ยิ่งนับวัน
การทำศึกของโนบุนางะก็รุนแรงและโหดเหี้ยมมากขึ้นทุกที
เนื่องจากโนบุนางะไม่มีความเมตตาหรือความเห็นใจต่อศัตรู
ไม่ว่าจะเด็ก สตรี คนชรา
หากเป็นศัตรูเขาก็พร้อมจะสังหารทุกเมื่อ
โดยเฉพาะในการศึกกับพวกกลุ่มจลาจลอิกโกะ
ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกปีนั้น ทำให้ชีวิตของเด็ก และสตรี
จำนวนมากต้องล้มตายลง
เนื่องด้วยโนบุนางะสั่งสังหารคนกลุ่มนี้อย่างเหี้ยมโหด
เพราะไม่ต้องการให้มีกำลังเหลือพอที่จะต่อต้านเขาได้อีก
และเนื่องจากมิตสึฮิเดะนั้นเป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัดคนหนึ่ง
เขาจึงไม่เห็นด้วยนักกับความรุนแรงของโนบุนางะต่อพวกจลาจลซึ่งก็เป็นชาวพุทธเช่นกัน
แต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้นัก และจำต้องทำตามคำสั่งของโนบุนางะ
ในการปราบพวกจลาจลด้วย
แต่ก็ราวกับโนบุนางะจะรู้ความคิดของมิตสึฮิเดะ
ในการปราบปรามพวกจลาจลแต่ละครั้ง
มิตสึฮิเดะไม่ค่อยจะได้รับหน้าที่ตรงนี้เท่าไร
ส่วนใหญ่แล้วคนที่ออกปราบพวกจลาจลมักจะเป็นคัตสึอิเอะ ฮิเดโยชิ
นากาฮิเดะ
และลูกชายคนโตของโนบุนางะอย่างโนบุทาดะ
เป็นส่วนใหญ่
นอกจากนี้ โนบุนางะยังใช้กำลังในการกำราบดินแดนคางะ
ซึ่งเป็นถิ่นของเหล่านินจาอิงะจนราบคาบ
สรุปได้ว่าคนกลุ่มใดที่มารวมตัวกันและมีแนวโน้มที่จะต่อต้าน
จอมมารผู้นี้ก็พร้อมทำลายให้สิ้น
โดยไม่สนใจว่าจะต้องฆ่าล้างไปมากเท่าใด
ดังนั้นเมื่อมิตสึฮิเดะได้รับมอบหมายให้เข้าตีปราสาทยางามิในครั้งนี้
เขาจึงตั้งใจจะใช้วิธีการสันติ เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด
โดยมิตสึฮิเดะถึงกับลงทุนยอมส่งตัวมารดาของตนเองไปเป็นตัวประกันในปราสาทยางามิ
เพื่อแลกกับการให้ฮิเดฮารุและเหล่าข้ารับใช้ยอมสวามิภักดิ์ต่อโนบุนางะ
|
 |
แต่การณ์กลับผิดคาด ในประวัติศาสตร์บันทึกเรื่องตรงนี้ไว้ว่า
โนบุนางะผิดสัญญา
ด้วยการสั่งประหารเหล่าขุนนางของฮิเดฮารุที่เข้ามาสวามิภักดิ์จนหมดสิ้น
และสั่งยกทัพเข้าตีปราสาทยางามิ
ซึ่งนั่นทำให้มารดาของมิตสึฮิเดะที่ถูกจับตัวไว้ที่ปราสาทยางามิต้องถูกสังหารไปด้วย
มิตสึฮิเดะโกรธแค้นโนบุนางะในเรื่องนี้มาก
และจำฝังใจโดยไม่รู้ลืม ซึ่งมีสิ่งน่าสนใจตรงจุดนี้อยู่
เพราะบางเกร็ดก็เล่าว่าเป็นทางฝ่ายฮิเดฮารุที่ไม่คิดจะสวามิภักดิ์แต่แรกแล้ว
แต่แสร้งทำเป็นยอมแล้วคิดจะหาโอกาสสังหารโนบุนางะเมื่อเข้ามาถึงตัว
แต่โนบุนางะรู้ทันจึงชิงสั่งประหารก่อน
จึงเท่ากับว่ามิตสึฮิเดะถูกฝ่ายฮิเดฮารุหลอก
ซึ่งก็มีนักประวัติศาสตร์บางส่วนให้การสนับสนุนข้อหลัง
เพราะโนบุนางะก็รู้ดีว่ามารดาของมิตสึฮิเดะนั้นเป็นตัวประกันในการเจรจาครั้งนี้
หากสั่งประหารคนของฮิเดฮารุจนหมด มารดาของมิตสึฮิเดะต้องตายแน่
ซึ่งการทำเช่นนั้นกับผู้ใต้บังคับบัญชาคนสำคัญอย่างมิตสึฮิเดะก็นับว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายจนเกินไปและไม่สมเหตุผลเท่าไร
เพราะถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา
โนบุนางะก็ยังคงช่วงใช้งานมิตสึฮิเดะอยู่
แต่กระนั้น
ความไม่พอใจและความแค้นที่ถูกสะสมไว้ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อมันปะทุออกมา
ก็ถึงขั้นทำให้หน้าประวัติศาสตร์ต้องพลิกโฉมทีเดียว
|