|

หลังชัยชนะอันสุดยอดในศึกนากาชิโนะ โอดะ โนบุนางะ
ก็ได้ผงาดขึ้นมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน
แต่กระนั้นเขาก็ยังมีศัตรูอีกมากมายที่ต้องการจะเข้ามาช่วงชิงสิทธิ์การครองแผ่นดินด้วย
และในบรรดาศัตรูเหล่านั้น ผู้ที่มีความน่ากลัวและร้ายกาจที่สุด
ซึ่งพอจะต่อกรกับเขาได้นั้น ก็คือมังกรแห่งเอจิโกะ อุเอสึงิ
เคนชิน
สังฆราชเคนเนีย
แห่งวัดฮอนกันจินั้นเป็นผู้ที่มุ่งมั่นจะจัดการกับโนบุนางะให้ได้
กล่าวกันว่าการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของทาเคดะและโชกุน โยชิอากิ
ล้วนอยู่ภายใต้การบงการของเขา
และเคนชินก็คือบุรุษคนสุดท้ายในแผ่นดินนี้ที่มีความแข็งแกร่งพอจะทัดเทียมกับโนบุนางะได้
และเคนชินนั้นยังเป็นผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้ง
ด้วยว่าเขาเคยบวชเรียนมาก่อน
และเกือบจะเข้าสู่เส้นทางแห่งสงฆ์มาแล้ว
ดังนั้นเคนเนียจึงได้ขอให้เคนชินร่วมมือกันขนาบเล่นงานโนบุนางะ
|
 |
เมื่อพูดถึงเคนชินแล้ว สิ่งแรกที่ผู้คนนึกถึงก็คือ
นักรบร่างสูงใหญ่
ภายใต้ชุดคลุมสีขาวที่ห่มเหนือชุดเกราะประดุจดั่งพระนักรบ
ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเคนชินเลยทีเดียว
และด้วยฝีมือในการรบ ทั้งการบัญชากองทัพ ความสามารถ ไหวพริบ
และฝีมือการรบที่สูงส่งเกินกว่าผู้ใด
ประกอบกับการวางตัวและประพฤติตนตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด
ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “เทพนักรบ บิชามอนเท็น”
ซึ่งเป็นเทพเจ้านักรบที่แข็งแกร่งที่สุดตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น
เมื่อมองดูประวัติของเคนชินในสมัยเด็กนั้น
จะพบว่าชีวิตของเขาค่อนข้างจะก้ำกึ่งอยู่ระหว่างสองโลก
นั่นคือโลกแห่งการฆ่าฟันนองเลือดของเหล่านักรบ
และโลกแห่งความสงบทางจิตใจของนักบวช
เคนชินมีชื่อในสมัยเด็กว่า นากาโอะ คาเงโทร่า
เขาเป็นบุตรชายคนที่สี่ของ นากาโอะ ทาเมคาเกะ
ไดเมียวผู้มีชื่อเสียง
ซึ่งเป็นผู้ครอบครองกองกำลังที่แข็งแกร่งในดินแดนเอจิโกะ
|
 |
เด็กหนุ่มคาเงโทร่านั้น ถูกส่งไปบวชเรียนตั้งแต่เด็ก
สาเหตุนั้นก็เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ภายในตระกูลซึ่งมีการแก่งแย่งอำนาจกันเองในหมู่ญาติๆ
เพื่อจะให้หลีกเลี่ยงจากปัญหาคามวุ่นวายในตระกูล
เคนชินจึงได้มุ่งบวชเรียนจนกระทั่งลึกซึ้งในหลักคำสอนทางพุทธศาสนา
และเกิดความเลื่อมใส
เคนชินไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกเลย จนกระทั่งอายุได้ 14 ปี
อุซามิ ซาดามิทสึ ผู้รับใช้ของทาเมคาเกะ บิดาของเขา
ก็ได้มาเชิญตัวเคนชินกลับไปยังตระกูล
เพราะข้ารับใช้เก่าแก่หลายคนนั้นไม่นิยมในตัวของผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอย่าง
นากาโอะ ฮารุคาเกะ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของเคนชินนั่นเอง
เพราะฮารุคาเกะนั้นมีร่างกายอ่อนแอ
และหลงใหลในสุรานารีมากกว่าการปกครองหรือการนำทหารออกรบ
บรรดาข้ารับใช้สำคัญๆของตระกูลจึงคิดว่าหากฮารุคาเงะนั่งตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อไป
ตระกูลนากาโอะ อาจพินาศได้
จริงอยู่ว่าในตอนนั้นเคนชินหรือคาเงโทร่านั้น มีอายุเพียง 14
ปี ไม่เคยนำทหารออกสู้รบ ไม่มีประสบการณ์ในการปกครอง
เป็นการยากที่เขาจะสามารถปกป้องเขตแดนของตระกูลนากาโอะจากศัตรูภายนอก
แต่เคนชินนั้นมีบุคลิก ความหนักแน่นอดทนสมเป็นผู้บวชเรียน
และมีฝีมือในการรบสูงส่งเกินอายุ
บรรดาข้ารับใช้จึงสนับสนุนให้เขากลับมาเป็นเสาหลักของตระกูล
เล่ากันว่าแรกเริ่มแล้ว
เคนชินไม่สนใจที่จะกลับมายุ่งเกี่ยวทางโลก
แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับมาตระกูลนากาโอะ
และกลายเป็นคนสำคัญที่ช่วยขยายอิทธิพลของตระกูลนากาโอะในดินแดนในเอจิโกะมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเมื่อเขาอายุ 17 ปี
เคนชินก็กลายเป็นผู้นำตระกูลแทนที่ฮารุคาเงะพี่ชายของเขาซึ่งป่วยหนักและถูกบีบให้สละตำแหน่งจากหลายฝ่าย
เคนชินเริ่มทำการรวบรวมดินแดนเอจิโกะให้เป็นหนึ่งเดียว
และก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาได้เผชิญหน้าชายผู้หนึ่งซึ่งได้กลายมาเป็นศัตรูคู่ปรับตลอดกาลของเขา
พยัคฆ์แห่งคาอิ ทาเคดะ ชินเก็น
ชินเก็นต้องการแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาที่ชินาโนะ
ทำให้ผู้ปกครองสองคนของชินาโนะ ทั้ง โอกาซาวาระ นากาโทคิ
และมุราคามิ โยชิคิโยะต้องขอความช่วยเหลือมายังเคนชิน
เขาตอบรับคำขอนั้นและยกทัพมาปะทะกับชินเก็นที่ชินาโนะ
ซึ่งแม้ว่าเคนชินจะไม่อาจหยุดยั้งไม่ให้ชินเก็นกลายเป็นจ้าวแห่งชินาโนะได้
แต่นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของตำนานการต่อสู้ระหว่างมังกรและพยัคฆ์ที่จะต่อเนื่องและเนิ่นนานไปอีกนับสิบปี
|
 |
ทั้งสองได้เปิดฉากการสู้รบขึ้นที่คาวานากาจิม่า ถึง 5
ครั้งในรอบ 10 ปี
จนกระทั่งการรบที่นี่กลายเป็นตำนานโจษขานกันถึงคนรุ่นหลัง
ระหว่างขุนศึกทั้งสองซึ่งแม้ว่าจะรบกันมายาวนานและดุเดือดแค่ไหน
ก็ไม่อาจหาผลแพ้ชนะที่เด็ดขาดได้
และในระหว่างความมุ่งมั่นที่จะพิฆาตกันและกัน
พวกเขากลับแสดงความมีน้ำใจให้กันและกันอย่างน่ายกย่อง
มีเกร็ดเล่าว่ายามที่อีกฝ่ายขาดแคลนเสบียงเช่นเกลือ หรือยา
เมื่ออีกฝ่ายรู้ข่าว ก็พร้อมจะหยิบยื่นสิ่งเหล่าให้แก่กัน
เรียกว่าพวกเขาต่างก็ยกย่องอีกฝ่ายในฐานะลูกผู้ชาย
ในการศึกครั้งสุดท้ายนั้น เคนชินเสียกำลังพลไปมากกว่า
และก็จำต้องถอยทัพกลับเอจิโกะ
กล่าวกันว่าทั้งชินเก็นและเคนชินนั้นแม้จะเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่
แต่ก็ไร้วาสนาที่จะครองแผ่นดิน
เพราะตำแหน่งและภูมิประเทศของดินแดนในปกครองของทั้งคู่นั้น
อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงเกียวโต
อันเป็นศูนย์อำนาจการปกครองค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะเค็นชินนั้นมีโอกาสน้อยที่สุด
เพราะการจะออกจากดินแดนเอจิโกะนั้น จำต้องผ่านเขตแดนของชินาโนะ
ซึ่งอยู่ในการปกครองของชินเก็นด้วย
ดังนั้นชินเก็นจึงเสมือกับปราการที่ขวางหน้าสู่เส้นทางการไปเมืองหลวงของเขา
แต่จะว่าไปแล้ว
เค็นชินคงไม่ได้มีเจตนาหรือความทะเยอทะยานที่อยากจะครองแผ่นดินทั้งหมดเท่าใดนัก
เพราะจากประวัติของเขานั้นก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ที่มีใจใฝ่ในพุทธศาสนา
แม้ว่าเขาจะถูกเรียกเป็นเทพนักรบ
แต่การรบของเขานั้นก็ไม่ใช่การรบที่มุ่งเน้นการฆ่าล้างศัตรูจนเลือดนองแผ่นดิน
นับว่าแตกต่างไปจากโนบุนางะอย่างสิ้นเชิง
ตรงจุดนั้น ชินเก็นยังนับว่ามีโอกาสมากกว่า
เพราะในศึกมิคาตากาฮาระ
ซึ่งชินเก็นตัดสินใจออกจากดินแดนคาอิและมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงนั้น
หากเค็นชินจะยกทัพเข้าตีดินแดนของชินเก็นก็ย่อมทำได้
แต่เพราะการเคลื่อนทัพของชินเก็นในครั้งนั้นเกิดจากแผนการของโชกุนโยชิอากิ
เค็นชินซึ่งยอมโอนอ่อนตามคำสั่งของโชกุนจึงไม่ได้เคลื่อนไหวขัดขวางชินเก็นแต่อย่างใด
จนกระทั่งชินเก็นสิ้นลง
สังฆราชเคนเนียซึ่งเกลียดชังโนบุนางะอย่างรุนแรง
จึงหวังพึ่งพากำลังของเค็นชินซึ่งเปรียบดั่งผู้เดียวที่จะหยุดยั้งการครองแผ่นดินของโนบุนางะได้
หลังจากพิฆาตทาเคดะ คัตสึโยริที่ทุ่งนากาชิโนะ
โนบุนางะก็มุ่งเป้าการศึกไปยังดินแดนทางตะวันตก
ภายใต้อำนาจของตระกูลโมริ และสายตาอีกข้างก็เบนมาทางเค็นชิน
ซึ่งทำตัวเป็นมังกรที่หลับซุ่มอยู่ในดินแดนเอจิโกะ
|
 |
โนบุนางะตัดสินใจยกทัพเข้าปราบโมริก่อนเป็นอันดับแรก
แต่การศึกกับโมริก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะโมรินั้นได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่มีกองทัพเรือที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่นเวลานั้น
โนบุนางะใช้เวลาถึงสามปีในการทดสอบศักยภาพเรือรบที่แข็งแกร่งของโมริ
และในที่สุด คูคิ โยชิทากะ
แม่ทัพเรือคนสำคัญของตระกูลโอดะก็ได้สร้างเรือรบขนาดใหญ่พิเศษหุ้มเกราะทั้งหมด
6 ลำขึ้นมาได้
และใช้เรือทั้งหกลำนี้เป็นแกนหลักในการพิชิตกองทัพเรือขนาดมหึมาของโมริลงในศึกคิกุคาวากุชิ
โดยทัพเรือจำนวนมากของโมริได้ถูกเผาทำลายลงแทบทั้งหมด
ทำให้โมริเสียกำลังไปมาก
และไม่สามารถที่จะยกทัพข้ามฝั่งทะเลเข้ามายังเขตแดนของโอดะได้อีกเลย
หลังจากนั้นไม่กี่ปี
โนบุนางะก็ได้วางตัวให้ฮิเดโยชิเป็นผู้ประจำการฝั่งตะวันตกเพื่อคอยรับศึกกับทางโมริต่อไป
ในเมื่อไดเมียวทั่วประเทศแทบจะยอมสยบให้แก่เขาจนเกือบหมดสิ้น
จอมมารจึงได้กวักมือเรียกมังกรลงสู่สนามรบ
ในฐานะศัตรูคนสุดท้ายที่เก่งกาจที่สุด
และมังกรผู้นี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เค็นชินเตรียมยกทัพใหญ่ออกจากเอจิโกะ มุ่งหน้าสู่แม่น้ำเทโดริ
ที่ดินแดนคางะ อันเป็นจุดเริ่มต้นของศึกเทโดริกาว่า
ในศึกนี้
เค็นชินเป็นผู้บัญชาการนำกองทัพเทพนักรบที่ได้รับการเรียกขานว่า
“บิชามอนเท็น” มาด้วยตนเอง
และก็ได้เผชิญหน้ากับกองทัพแนวหน้าของตระกูลโอดะที่มี ชิบาตะ
คัตสึอิเอะ เป็นแม่ทัพใหญ่ และมี มาเอดะ โทชิอิเอะ (อินุ)
เป็นรองแม่ทัพ
เค็นชินแสดงถึงความเหนือชั้นในฐานะแม่ทัพ
นอกจากเขาจะมีฝีมือในการสู้รบที่เก่งกล้ายากจะหาคนเทียบได้แล้ว
เขายังมีสติปัญญาและความเชี่ยวชาญในการทำศึกอย่างสูงล้น
เขาได้วางกับดักเข้าสังหารโช ชิเงสึระ แม่ทัพของตระกลโอดะ
และกองทัพของเขาลง จากนั้นก็เข้ายึดปราสาทอานามิซุ
และพื้นที่ใกล้เคียงของแม่น้ำเทโดริได้ทั้งหมด
เพื่อใช้เป็นแนวป้องกันสำหรับการรับมือกับแนวปืนใหญ่ของฝ่ายคัตสึอิเอะ
และอาศัยการเปิดเขื่อนกั้นแม่น้ำ
อาศัยน้ำที่ไหลท่วมเข้าป้องกันการรุกของทัพโอดะอย่างชะงัก
ก่อนจะปิดท้ายด้วยการใช้กองทหารเดินเท้าเข้าเล่นงาน
ฝ่ายคัตสึอิเอะแม้จะมีประสบการณ์สู้รบมามาก
แต่ก็ไม่อาจต้านทานเค็นชินได้
ในที่สุดโนบุนางะจึงสั่งให้ถอนทหารกลับมายังเขตแดน โอมิ
ทำให้เค็นชินเป็นฝ่ายชนะในศึกนี้
โนบุนางะเคยวางแนวทางการจัดการกับเค็นชินด้วยการตรึงเขาให้อยู่ในเขตแดนเอจิโกะ
แต่มันก็เริ่มไม่ได้ผลเท่าไรนัก
และภายหลังเค็นชินก็ทำการแผ่ขยายอิทธิพลเข้าสู่จังหวัดคางะ
ซึ่งแนวร่วมของกลุ่มจลาจลไปจนถึงกลุ่มนินจาในดินแดนรี้ก็พร้อมจะเข้าร่วมกับเค็นชินเป็นจำนวนมาก
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โนบุนางะต้องทุ่มเทเวลาไปหลายปีเพื่อจัดการสยบเหล่าจลาจลที่ก่อนความวุ่นวายในคางะ
ซึ่งในภายหลังโนบุนางะก็ยอมที่จะสงบศึกกับทางวัดฮอนกันจิซึ่งเปรียบเสมือนผู้อยู่เบื้องหลังของแนวร่วมจลาจล
เพื่อที่จะลดความกดดันลงมา
และจะได้ทุ่มเทกำลังไปกับการศึกรอบทิศ
โดยเฉพาะทางด้านของเค็นชิน และโมริที่แม้จะไม่ได้รุกคืบเข้ามา
แต่ก็พร้อมที่จะเข้าตลบหลังทุกเมื่อหากประมาท
|
 |
หลังจากศึกเทโดริกาว่าไม่นาน
เค็นชินก็เตรียมการจะเคลื่อนทัพอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำ
เพราะในปี ค.ศ. 1578
เค็นชินก็ป่วยหนักและเสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 48 ปี
หลังจากการตายของเค็นชินล่วงรู้ไปถึงหูของโนบุนางะแล้ว
เขาถึงกับพูดว่า “แผ่นดินนี้เป็นของข้าแล้ว”
นักประวัติศาสตร์บางคนเคยวิเคราะห์ว่า
เค็นชินอาจจะตายเพราะถูกลอบสังหาร
เช่นเดียวกับผู้กล้าหรือคนดังหลายคนในยุคนั้น
และกล่าวกันว่าหากเค็นชินมีอายุยืนกว่านี้สัก 3-4 ปี
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในยุคนั้นหรืออาจจะรวมถึงหลังจากนั้นสักรอยปี
อาจถึงขั้นต้องเขียนกันใหม่หมด
ในบรรดาขุนศึกของยุคเซ็นโกคุ
เค็นชินนับเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง
ไม่ว่าจะจากผู้คนในสถานะใด ชาวนา ชาวบ้าน นักบวช พ่อค้า นักรบ
ขุนนาง เหล่าขุนศึกด้วยกัน
หรือแม้กระทั่งศัตรูที่ร่วมแย่งชิงแผ่นดินด้วยกันกันอย่างชินเก็น
ก็ให้ความยกย่องเขามาก แม้แต่โนบุนางะเองก็ยังยอมรับว่า
เค็นชินคือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเขา
ทั้งๆที่พวกเขามีโอกาสได้สู้กันเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
และยังยอมรับว่าหากเค็นชินยังมีชีวิตอยู่อีกสักหลายปี
แผ่นดินนี้อาจเป็นของเค็นชินไปแล้ว
การที่เค็นชินได้รับความยกย่องเยี่ยงนี้
อาจเพราะเขามีจิตใจอันเมตตา ยุติธรรม
และบริสุทธิ์ของผู้ออกบวชผสมผสานกับความเข้มแข็งและกล้าหาญ
เด็ดเดี่ยวของนักรบ ในบรรดาขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ด้วยกันในยุคนั้น
เค็นชินเป็นผู้ที่ไม่ชอบการฆ่าฟันกันมากที่สุด
เขาแทบจะไม่เคยสั่งสังหาร เด็ก สตรี หรือคนชรา ที่ไม่มีทางสู้
และหากเขามีความทะเยอทะยานมากกว่านี้
เขาอาจจะเป็นผู้ครองแผ่นดินทั้งหมดไปแล้ว
|