|

หลังจากพิชิตโอมิและทำลายอาซากุระ และ อาซาอิจนราบคาบ
โนบุนางะผู้ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการสูญเสีย
ก็เตรียมทะยานเข้าสู่ศึกครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา
ในการศึกกับตระกูลทาเคดะ ในชื่อ “ยุทธการนากาชิโนะ”
ปี ค.ศ.1575
โอดะและทาเคดะต่างก็เตรียมการสู่การศึกครั้งสำคัญที่จะเป็นการตัดสินว่าผู้ใดที่จะขึ้นมาครองความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
เพราะในขณะนี้ไดเมียวและตระกูลซามูไรที่มีอำนาจพอที่จะรวบรวมแผ่นดินทั้งหมดได้นั้นเหลือเพียงไม่กี่ตระกูล
ได้แก่ โอดะ ทาเคดะ อุเอสึงิ และโมริ
ทาเคดะ คัตสึโยริ (ชิโร่) ลูกชายคนโตของทาเคดะ ชินเก็น นั้น
ได้สืบทอดเอาความสามารถในการบัญชาทัพมาจากบิดาได้ในระดับหนึ่ง
ช่วงระหว่างที่ตระเตรียมกองทัพเพื่อรอทำศึกกับโนบุนางะนั้นเขาได้พัฒนากองทัพม้าของทาเคดะจากที่แข็งแกร่งในระดับไร้เทียมทานอยู่แล้ว
ให้มีจำนวนมากขึ้นไปอีก
|
 |
กองทัพม้าเหล็กนั้น
คือสิ่งที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้ทาเคดะมาหลายสิบปี
และก็ยังไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ กระทั่งอุเอสึงิ เค็นชิน
มังกรแห่งเอจิโกะที่มีฝีมือทัดเทียมกับชินเก็น
ยังไม่อาจเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้นหากโนบุนางะต้องการเอาชัยชนะในศึกกับทาเคดะ
ก็จำต้องสยบกองทัพม้าเหล็กอันแข็งแกร่งไร้เทียมทานนี้ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก
โนบุนางะคิดว่าสิ่งที่จะกำราบกองทัพม้าได้นั้นก็คือปืนไฟ
แต่ติดอยู่ที่จำนวน และประสิทธิภาพของปืนด้วย
กระนั้นเขาก็ได้เตรียมการเพื่อศึกนี้มาล่วงหน้าหลายปี
ด้วยการจัดหาปืนไฟจำนวนมากจากพ่อค้าต่างชาติ
รวมไปถึงการผูกขาดซื้อขายปืนไฟกับพ่อค้าชาวเมืองซาไก
ทุกอย่างนั่นก็เพื่อการสร้างกองทัพปืนไฟเพื่อศึกนี้โดยเฉพาะ
ซึ่งยังไม่เคยมีไดเมียวคนไหนคิดตั้งกองทัพปืนไฟขึ้นมาแบบโนบุนางะมาก่อน
ที่ผ่านมาหน่วยปืนไฟจะเป็นเพียงหน่วยเล็กๆ
รวมอยู่กับกองทหารม้า โดยหลักการคือการให้ทหารปืนไฟยิงนำ
แล้วให้กองทหารม้าเข้าตะลุยตามหลัง
ทางฝ่ายทาเคดะเองก็ใช้วิธีนี้
เนื่องจากปืนไฟนั้นหาได้ยากและมีราคาสูง
อีกทั้งทหารที่มีความชำนาญในการใช้ปืนไฟได้ดีจริงๆนั้นก็ยังมีไม่มากนัก
โนบุนางะจึงได้ทำการรวบรวมบุคลากร
รวมไปถึงทำการฝึกฝนทหารปืนไฟขึ้น
ซึ่งนับเป็นผลงานชิ้นเอกของสองขุนพลอย่าง โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ
ศึกตัดสินครั้งนี้เกิดขึ้นที่ทุ่งนากาชิโนะ
โดยกองทัพโอดะได้จัดเตรียมสร้างแนวไม้กั้นม้าที่เป็นทางยาวและถี่ขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน
และได้จัดให้กองปืนไฟเข้าประจำการตามด้านหลังแนวกั้นม้า
และแบ่งออกเป็นสามแถว
ซึ่งเป็นรูปแบบการจัดวางแนวพลปืนแบบใหม่ที่โนบุนางะคิดขึ้นเพื่อรับมือกองทัพม้าโดยเฉพาะ
เพราะจุดอ่อนของพลปืนไฟก็คือเมื่อยิงออกไปแล้ว
จะต้องทำการใส่กระสุนใหม่
ซึ่งช่วงเวลาของการเปลี่ยนกระสุนนี้เองที่ทางฝ่ายทาเคดะเองก็เล็งไว้อยู่
เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่กองทัพม้าของทาเคดะจะสามารถทลายแนวกั้นม้าเข้าไปได้
|
 |
แต่คัตสึโยริคาดไม่ถึงว่าโนบุนางะจะลบจุดอ่อนนี้ด้วยการจัดแนวพลปืนเป็นสามแถว
เมื่อแถวแรกยิงออกไปและต้องใส่กระสุนใหม่
แถวที่สองจะเข้ามาแทนที่ จากนั้นก็เป็นแถวที่สาม
และเมื่อแถวที่สามยิงไปแล้ว แถวที่หนึ่งซึ่งใส่กระสุนเสร็จ
ก็จะเข้ามารับต่อวนแบบนี้ไปเรื่อยๆ
การทำแบบนี้ก็จะสามารถหยุดยั้งกองทัพม้าที่แข็งแกร่งได้อย่างชะงัก
ทัพม้าของทาเคดะพยายามจะบุกฝ่าเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็ไม่อาจทะลวงผ่านแนวกั้นม้าไปได้เลย
กองทัพม้าของทาเคดะพยายามอยู่หลายชั่วโมง
สูญเสียไพร่พลไปมหาศาลในขณะที่กองทัพของโนบุนางะที่อยู่ในวินัย
ปฏิบัติตามแผนการอย่างเข้มงวดนั้น ไม่เสียไพร่พลไปสักคนเดียว
แต่คัตสึโยริก็ยังคงรั้นที่จะบุกต่อไป แม้ว่าฟุรินคาซัน
สุดยอดแม่ทัพทั้งสิบ
และซามูไรซึ่งเป็นผู้รับใช้เก่าแก่แห่งทาเคดะทั้งหมดที่ถูกเรียกรวมว่า
“24 ขุนพล”
ซึ่งเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของทาเคดะจะพยายามเกลี้ยกล่อม
ก็ยังไม่เป็นผล
จนกระทั่งทัพทาเคดะเหลือจำนวนน้อยเกินกว่าจะทำการสู้ต่อไปได้
ทัพโอดะก็เริ่มที่จะเป็นฝ่ายรุกบ้าง
เหล่าขุนพลต่างรู้ดีว่าหากสู้ต่อ ทัพทาเคดะจะพินาศหมดสิ้น
พวกเขาทั้งหมดจึงตัดสินใจสละชีพเป็นแนวหลังเพื่อให้คัตสึโยริสามารถหนีกลับคาอิได้อย่างปลอดภัย
ซึ่งนั่นการเสียสละของเหล่าขุนพลแห่งทาเคดะนั้นคือวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ยังคงได้รับการสรรเสริญมาถึงทุกวันนี้
และทำให้ชื่อของ 24
ขุนพลรวมไปถึงชื่อของฟุรินคาซันถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
และใน 24 ขุนพลนั้น มีผู้ที่เกือบจะพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์
เมื่อสามารถมองจุดอ่อนของแนวกั้นม้าออก นั่นคือ
ยามากาตะ
มาซาคาเกะ
ซึ่งเป็นผู้ที่นำทัพม้าเข้าตีตรงช่องว่างของแนวกั้นม้าในศึกนี้
ซึ่งเป็นผู้เดียวที่เกือบจะตีผ่านแนวกั้นม้ามาได้
จนกระทั่งโนบุนางะยังเอ่ยปากว่าหากคัตสึโยริยอมทำตามคำแนะนำของชายผู้นี้แล้ว
ทัพโอดะอาจจะกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ได้ อีกคนก็คือ บาบะ
โนบุฮารุ ซึ่งยืนหยัดเป็นหน่วยสุดท้ายเข้าปะทะกับกองปืนไฟ
เพื่อเปิดโอกาสให้คัตสึโยริหนีรอดมาได้
|
 |
24 ขุนพล ตายแทบหมดสิ้นในศึกนี้
ซึ่งมีการบันทึกว่ากองทัพทาเคดะเสียทหารไปถึง 10,000
คนและแม่ทัพถึง 54 คน
ในขณะที่ฝ่ายโอดะไม่มีการบันทึกผู้เสียชีวิตเลยแม้คนเดียว
เป็นการได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในศึกใหญ่ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน
และเป็นจุดพลิกของประวัติศาสตร์ที่ทำให้ตระกูลทาเคดะ
ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังต้องพบกับความพินาศในภายหลัง
|