
เพื่อสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งสำหรับการทำสงครามกับอิมากาว่า
โนบุนางะจึงได้เริ่มติดต่อกับชาวตะวันตก
ซึ่งเขาเป็นไดเมียวคนแรกๆของยุคนั้นที่คิดนำเอาปืนไฟอันเป็นอาวุธที่เกิดจากวิทยาการของตะวันตกเข้ามาใช้ในสงครามด้วย
ช่วงนั้นเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตก
และก็ได้มีพ่อค้าจากต่างชาติและบาทหลวงนำวิทยาการต่างๆเข้ามาเผยแพร่
โดยสินค้าสำคัญที่พ่อค้าจากตะวันตกนำเข้ามาและเป็นที่สนใจของไดเมียวทั่วประเทศก็คือปืนไฟ
โนบุนางะเป็นผู้ที่มีความสนใจในเรื่องปืนไฟอย่างมาก
เขาได้มีโอกาสเห็นศักยภาพของมันและตระหนักว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสงครามในอนาคต
จึงได้เริ่มทำการสั่งซื้อและสะสมปืนไฟเป็นจำนวนมาก
โดยไม่เกี่ยงว่าจะต้องจ่ายมากเท่าไหร่ โดยทรัพย์สินในส่วนนี้
เขาได้เอามาจากสิ่งที่พ่อของเขาเคยเก็บสะสมไว้ตั้งแต่อดีตออกมาใช้
ในขณะเดียวกัน ปีค.ศ.1555
ที่เมืองมิโนะก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อไซโต้
โยชิมาสะ หรือเจ้าอสรพิษโดสะ ผู้เป็นพ่อตาของโนบุนางะ
ได้ถูกลูกชายของตนที่ชื่อ ไซโต้ โยชิทัตสึ
ก่อกบฏในศึกที่แม่น้ำนาการะ และเขาได้ถูกลูกชายของตนสังหารลง
จากนั้นโยชิทัตสึจึงได้ขึ้นปกครองมิโนะแทน
โนบุนางะคิดการจะแก้แค้นให้พ่อตา และคิดยึดเอามิโนะมาเป็นของตน
ซึ่งการที่อสรพิษโดสะตายนั้นก็เป็นไปดั่งใจเขาหวัง
เพราะตราบใดที่พ่อตาคนนี้ยังปกครองมิโนะ
เขาก็ไม่อาจจะใช้กำลังทหารยึดเอามิโนะมาได้
แต่ในเมื่อพ่อตาของตนมาถูกบุตรชายสังหารเอาเช่นนี้
เขาสามารถอ้างการแก้แค้นมาเป็นความชอบธรรมสำหรับการยกทัพยึดมิโนะในครั้งนี้
สงครามระหว่างโอวาริและมิโนะยืดเยื้อเป็นเวลานาน
ฝ่ายโยชิทัตสึนั้นมีบริวารที่มีความสามารถมาก บริวารคนสำคัญคือ
ทาเคนากะ ชินเกฮารุ หรือที่รู้จักกันอีกชื่อคือ ทาเคนากะ ฮันเบ
(Takenaga Hanbei)
ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะเจ้าแห่งกลยุทธ์
จนถึงกับถูกเปรียบเปรยเป็นดั่งขงเบ้ง
และแม่ทัพอาวุโสสามคนแห่งตระกูลมิโนะที่ถูกเรียกว่ากลุ่มสามคนแห่งมิโนะ
ด้วยความสามารถของพวกเขาทั้งหมด
ทำให้โนบุนางะไม่อาจเอาชนะโยชิทัตสึในการศึกที่ปราสาทอินาบายามะได้
และในภายหลังก็ได้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นทำให้โนบุนางะจำต้องยุติศึกกับทางมิโนะไว้ชั่วคราว
เพราะไม่เช่นนั้นตระกูลโอดะอาจล่มสลายได้
 |
ปี ค.ศ. 1560 อิมากาว่า โยชิโมโตะ
ได้ทำการระดมกองทัพขนาดใหญ่ถึง 40,000
คนเพื่อจะบุกเข้าเมืองหลวงเกียวโต
และได้นำทัพเดินหน้ายึดเมืองได้ถึง 3 จังหวัด
โดยโอวาริก็อยู่ในทางผ่านนั้นด้วย
เพราะโอวาริเป็นเมืองที่อยู่แถบภาคกลางของญี่ปุ่นและอยู่ใกล้กับเมืองหลวง
โนบุนางะจึงต้องระดมกองทัพทั้งหมดเพื่อเตรียมหยุดยั้งโยชิโมโตะไว้ให้ได้
ซึ่งเขาสามารถระดมกำลังได้เพียง 5000 คนเท่านั้น
และในกองทัพของอิมากาว่าครั้งนี้
ก็มีตระกูลมัตสึไดระผู้ครองจังหวัดมิคาว่าเข้าร่วมด้วย
โดยผู้นำตระกูลนั้นในวัยเด็กเคยมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องและสหายของโนบุนางะมาก่อน
เขาคือนักรบหนุ่มร่างอ้วนเตี้ย มีนามว่ามัตสึไดระ โมโตยาสุ
หรือในภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น โตกุกาว่า อิเอยาสึ (Tokukawa
Ieyasu) ติดตามมาด้วย
แม้ว่าอิเอยาสึจะเป็นคนมีรูปร่างเตี้ย อ้วน
แต่มีฝีมือการรบไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะการยิงธนู
ถึงขนาดได้รับฉายาว่า "จอมขมังธนูแห่งมิคาว่า"
เขาเป็นคนมีนิสัยใจเย็น ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้ามากนัก
สนิทสนมกับโนบุนางะมากเมื่อยังเด็ก
ทั้งสองคนรักกันดั่งพี่น้องจริงๆ แต่เมื่อโตขึ้นเป็นหนุ่ม
อิเอยาสึจำต้องถูกส่งไปอยู่กับตระกูลอิมากาว่าในฐานะตัวประกัน
เพราะว่าตระกูลมัตสึไดระในขณะนั้นเป็นเพียงตระกูลเล็กๆเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดศึกชี้ชะตาที่โอเกฮาซาม่า
ฝ่ายโนบุนางะก็มีบริวารที่มีความสามารถโดดเด่นขึ้นมาหลายคน
ในบรรดาคนเหล่านั้นมีอยู่สองคนที่สนิทสนมกับโนบุนางะมาช้านาน
และภายหลังได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจและมีบทบาทต่อการชี้ชะตาประเทศญี่ปุ่น
นั่นคือมาเอดะ โทชิอิเอะ (Maeda Toshiie)และโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ
(Toyotomi Hideyoshi)
โทชิอิเอะ นั้นเป็นซามูไรชั้นสูง
เพราะมาเอดะเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในสังกัดของโอดะ
และยังเป็นเพื่อนสนิทของโนบุนางะมาตั้งแต่เด็ก
เขาเป็นคนที่มีนิสัยตรงๆ ทื่อๆ
แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกล้าหาญมากคนหนึ่ง
และสร้างผลงานในการรบพอสมควร มีฉายานามว่า "อินุ" (สุนัข)
ส่วนฮิเดโยชิ หรือชื่อเดิมคือ คิโนชิตะ โทคิชิโร่
มีพื้นเพมาจากชาวนา สมัยเด็กเขายากจนมาก
แต่อาศัยความมุมานะและไหวพริบ
ถีบตัวเองจากทหารเลวขึ้นมาเป็นซามูไรคนหนึ่งได้
และกลายเป็นทหารคนสนิทของโนบุนางะในเวลาไม่นาน
เพราะมีไหวพริบความเจ้าเล่ห์และกลอุบายที่แม้แต่โนบุนางะเองก็ยังต้องยอมรับ
เพียงแต่ฮิเดโยชินั้นมีนิสัยที่ออกจะโลภเกินไปนิด
อาจเพราะโตมาอย่างยากจนเมื่อเริ่มมีเงินทองในภายหลังจึงเกิดความโลภอยากได้มากขึ้นก็เป็นได้
เขาไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากเหล่าซามูไรด้วยกันนัก
และถูกเรียกว่า "เจ้าลิง"
และด้วยบริวารที่เก่งกล้าเหล่านี้เอง
ที่กลายเป็นกุญแจในการครองความยิ่งใหญ่ของโนบุนางะในภายหลัง
วกกลับมาถึงเรื่องการศึกระหว่างโอดะ และอิมากาว่า
ฝ่ายโอดะนั้นร้อนจนมาก เพราะการศึกนี้อาจทำให้ตระกูลพินาศลงได้
และกองทัพ 5000 ของโอดะนั้น มองยังไงก็ไม่อาจเอาชนะกองทัพ
40,000 ของอิมากาว่าได้แต่ แต่โนบุนางะก็ยังใจเย็นรับสถานการณ์
เขาแยกแยะออกว่าการจะเอาชนะทัพใหญ่ขนาดนี้ได้
มีแต่ต้องพิชิตที่ตัวหัว
นั่นคือทัพหลักของอิมากาว่าให้ได้ลงเท่านั้น
ทัพของอิมากว่าต้องเดินทัพในช่องเขาและทัพหลักก็จะตั้งมั่นอยู่ภายในช่องเขา
ดังนั้นเขาจึงนำเอาการข่าวสารเข้ามาช่วยจนสามารถสืบหาที่ตั้งกองทัพใหญ่ของอิมากาว่าที่ตั้งอยู่
ณ ช่องแคบแห่งหนึ่งได้
ประกอบกับโชคช่วยอย่างมหาศาลที่เกิดฝนตกหนัก
ซึ่งเป็นการเอื้อต่อการลอบโจมตีอย่างยิ่ง
เพราะมันจะช่วยกลบร่องรอยในการเดินทัพ
รวมถึงสะดวกต่อกองทัพที่มีจำนวนน้อยกว่า หากต้องสู้รบในที่แคบ
และอาศัยความรวดเร็ว
 |
ดังนั้นโนบุนางะจึงอาศัยช่วงเวลากลางคืนที่ฝนกำลังตกลงหนัก
นำกองทัพ 2000
คนเข้าซุ่มโจมตีที่ทัพหลักของอิมากาว่าซึ่งตั้งค่ายอยู่โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว
ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นานนัก
ก็สามารถเด็กศีรษะของอิมากาว่าลงมาได้
การเอาชนะศึกที่ไม่น่าชนะได้นี้เอง
ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่หน้าประวัติศาสตร์ของโอดะ
โนบุนางะ และการผงาดขึ้นมาของจอมมารอย่างเต็มตัว
|